เปิดเว็บเมื่อ : 2013-06-27
ปรับปรุงเมื่อ : 2024-02-01
จำนวนครั้งที่ชม : 375,681 ครั้ง
Online : 1 คน
จำนวนสินค้า : 6 รายการ
ปรับปรุงเมื่อ : 2024-02-01
จำนวนครั้งที่ชม : 375,681 ครั้ง
Online : 1 คน
จำนวนสินค้า : 6 รายการ
|
สถิติเว็บไซต์
เปิดเว็บเมื่อ : 2013-06-27
ปรับปรุงเมื่อ : 2024-02-01 จำนวนครั้งที่ชม : 375,681 ครั้ง Online : 1 คน จำนวนสินค้า : 6 รายการ |
ความรู้เกียวกับแบตเตอรี่ 2013-07-09 13:31:50 ใน แบตเตอรี่ » 0 5765 1 การประจุไฟที่น้อยเกินควร Under Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น: - เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก - ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ 2 การประจุไฟที่มากเกินควร Over Charging อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น: - น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง - อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม - ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ - แผ่นธาตุงอโค้ง - ลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ 3 การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ Short Circuit อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น: - เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป - เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ 4 ปัญหาระบบไฟในรถ อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น: - การติดเครื่องเสียง สัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ) - การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตเตอรี่ - การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆในรถ - ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่ 5 การมีสารอันตรายปะปนในหม้อแบตเตอรี่ Impurity อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น: - น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ - น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์ - เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป 6 การเกิดซัลเฟต (Sulfation) แผ่นธาตุที่มีผลึกซัลเฟตสีขาวเกาะติดอยู่ที่บริเวณแผ่นธาตุ เกิดจาก….. - ปล่อยทิ้งแบตเตอรี่ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้ - การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging) - แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด ชนิดของแบตเตอรี่ 1. แบตเตอรี่แบบธรรมดา (เติมน้ำกรดแล้วชาร์จไฟในครั้งแรก จากนั้นต้องหมั่นดูแลระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอ) 2. แบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่น (Free Maintenance) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกว่า “แบตแห้ง” (แบตเตอรี่ชนิดนี้มีการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟมาจากโรงงาน ก่อนการติดตั้งสินค้าในครั้งแรกต้องทำการกระตุ้นแผ่นธาตุโดยการชาร์จไฟฟ้า ระยะสั้นประมาณ 5-10 นาที จากนั้นไม่ต้องดูแลระดับน้ำ ในระยะแรก (6 เดือนแรก) หลังจากนั้นควรดูแลประมาณ 3 เดือนครั้ง เนื่องจากแบตเตอรี่ชนิดนี้มีระบบป้องกันการระเหยของน้ำทำให้มีการระเหยของ น้ำในแบตเตอรี่ต่ำมาก แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หลายๆอย่าง ด้วยกัน เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ เป็นต้น แบตเตอรี่ รถยนต์ไม่ใช่แหล่ง ผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เป็นแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง เมื่อใดก็ตามที่ไดร์ชาร์จ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทัน เช่น การขับขี่ในตอนกลางคืนซึ่งใช้ระบบไฟเยอะกว่าปกติ ก็จะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ ขณะเดียวกันถ้าไดร์ชาร์จทำงานได้ดีขึ้น หรือ หมุนเร็วขึ้น ก็จะมีกระแสไฟฟ้าเหลือจากการใช้งาน ซึ่งก็จะถูกส่งกลับเข้าไปยัง แหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง (แบตเตอรี่) จนกว่าจะเต็มแบตเตอรี่จะถูกจ่ายไฟออกอย่างเดียวก็เฉพาะตอนสตาร์ทเครื่อง ยนต์เท่านั้น เพื่อส่งกระแสไฟเข้าสู่มอเตอร์สตาร์ท และ ระบบต่างๆของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติด และ ทำงานแล้ว ไดร์ชาร์จก็จะทำหน้าที่ ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง นั่นก็หมายความว่า กระแสไฟฟ้าจะถูกจ่ายออกไป และ ถูกประจุเพิ่มเข้าไป หมุนเวียนเข้าออก แบตเตอรี่อยู่เสมอ ไม่ได้จ่ายออกไปจนหมดอย่างเดียว นั่นหมายความว่าแบตเตอรี่จะหมดได้ก็มีอยู่เพียง 2 กรณี นั่นก็คือ 1. เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน 2. ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ หรือ บกพร่อง ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่รถยนต์ได้น้อยมากไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปได้เลย |
|